Logo Main

พิธีปิดหลักสูตร 2morrow Scaler รุ่น 7 อย่างยิ่งใหญ่ เชิญพรรคการเมืองเปิดนโยบายเศรษฐกิจเลือกตั้ง 66

วันที่ 3 พฤษภาคม 2566 บจ. ดูเรียน คอร์ปปอเรชัน ร่วมกับเหล่าพันธมิตร 2morrow Group และ FIRM จัดงานปิดหลักสูตร  2morrow Sclaer รุ่นที่ 7 และได้มีการเชิญนักการเมืองจากแต่ละพรรคมาร่วมถ่ายทอดนโยบายทางด้านเศรษฐกิจพร้อมตอบคำถามจากนักเรียนของ 2morrow Scaler รุ่น 7 ในหัวข้อ “เข้าเส้นชัย ด้วยนโยบายเศรษฐกิจ ที่ไม่ใช่แค่ฝัน” ณ โรงแรมแลงคาสเตอร์

2morrow Scaler หลักสูตรด้านการขยาย (Scale) ธุรกิจ ที่ได้รับการกล่าวขานว่าเป็นหนึ่งในหลักสูตรที่ดีที่สุดในประเทศไทยสำหรับคนที่ต้องการสเกลธุรกิจจริง โดยเชื่อมโยงพันธมิตรที่หลากหลาย เปิดโอกาสให้สร้างธุรกิจข้ามพรมแดนประเทศให้สำเร็จได้อย่าง Beyond Frontiers

ภายในงานวันนี้ได้มีตัวแทนจากพรรคการเมืองแต่ละพรรคทั้ง พรรคก้าวไกล พรรคกรีน พรรคชาติไทยพัฒนา พรรคชาติพัฒนากล้า พรรคไทยสร้างไทย พรรคประชาธิปัตย์ พรรคพลังประชารัฐ และพรรครักษ์ผืนป่าประเทศไทย ร่วมถ่ายทอดนโยบายเศรษฐกิจของพรรคให้แก่นักเรียน 2morrow Scaler 

ตัวแทนจากพรรคก้าวไกล  

ดร. สิทธิพล วิบูลย์ธนากุล ผู้สมัคร ส.ส. แบบบัญชีรายชื่อ และทีมเศรษฐกิจพรรคก้าวไกล กล่าวว่า สำหรับก้าวไกลมีกรอบในการออกแบบนโยบายเชิงเศรษฐกิจอยู่ 3 เรื่อง ซึ่งเราอยากมุ่งเน้นแก้ไขหรือเข้าไปจัดการเชิงโครงสร้าง เราเชื่อว่าหากแก้ไขทั้งสามอย่างนี้ได้จะช่วยปลดล็อกศักยภาพเศรษฐกิจไทยรวมถึงธุรกิจไทยทุกคน เริ่มจากระดับแรก ปลดล็อกศักยภาพของภาคเกษตร หรือภาคชนบทไทย รวมถึง SME ให้ได้เพราะสองกลุ่มนี้เป็นคนกลุ่มใหญ่สุดของประเทศ

เกษตรกรไทยมีประมาณ 10 กว่าล้านคน ซึ่งปัจจุบันสร้างมูลค่าได้น้อย ขณะเดียวกันภาค SME ไทยปัจจุบันมีอยู่ประมาณ 3 ล้านราย เอาแค่คนสองกลุ่มนี้ถ้าเราสามารถแก้ไขให้พวกเขาได้ ก็จะช่วยทำให้เศรษฐกิจกลับมามีพลัง เราจึงมุ่งเน้นจัดการภาคเกษตรกร เช่น นโยบายปลดล็อกที่ดิน เปลี่ยน ส.ป.ก. เป็นโฉนดภายใต้การพิสูจน์สิทธิ์อย่างชัดเจน และมีเงื่อนไขที่เข้มข้นทำให้ภาคเกษตรกรไทยสามารถที่จะนำที่ดินไปทำ Farm Stay ใช้ประโยชน์จากการท่องเที่ยวได้ SME เรามีนโยบายหลายอย่าง เช่น หวยใบเสร็จเพิ่มแต้มต่อ เพิ่มเงินลงทุน ตลอดจนตัดรายจ่าย เพราะเราเชื่อว่าวันนี้ SME มีความเข้มแข็งแต่ขาดโอกาสที่จะเข้าไปแข่งขันกับทุนใหญ่ 

ในระดับที่สอง เราเชื่อว่าเป็นหน้าที่ของรัฐบาลไทยที่ต้องแก้ปัญหาสองเรื่องสำคัญ เรื่องแรกทำอย่างไรให้การใช้งบประมาณเป็นไปเพื่อตอบโจทย์เศรษฐกิจสมัยใหม่ วันนี้เรามีความท้าทายใหม่ ๆ ในโลกเยอะมาก เช่น Geopolitics ความขัดแย้งทางรัฐศาสตร์ เรามีปัญหาเรื่องโลกร้อน คำถามคือวันนี้การจัดการทำนโยบายรัฐบาลตอบโจทย์ใหม่ ๆ เหล่านั้นหรือเปล่า

ประการที่สองที่สำคัญมาก ๆ และพวกท่านในที่นี้ได้รับผลกระทบก็คือ ปัจจุบันเราเชื่อว่าผู้ประกอบการมีปัญหาคือแข่งขันลำบากจากกฎระเบียบของภาครัฐ รวมถึงกฎระเบียบของภาครัฐหลายอย่างที่ทำให้เกิดการผูกขาดโดยไม่ได้ตั้งใจ เช่น วันนี้กฎหมายแข่งขันทางการค้ายกเว้นให้รัฐวิสาหกิจ ทั้งที่เขาประกอบธุรกิจเดียวกับเรา แต่เขายกเว้นออกจากกฎหมายทางการค้า

รัฐบาลก้าวไกลมีความจริงจังที่จะเข้าไปแก้ไขกฎหมายแข่งขันทางการค้า เพื่อทำให้มีความเข้มงวดและครอบคลุมมากขึ้น ทำให้พวกเราในฐานะนักธุรกิจสามารถแข่งขันได้อย่างเป็นธรรม เราเชื่อว่าถ้าเราแก้ไขกลไกการใช้งบประมาณภาครัฐหรือทรัพยากรภาครัฐอย่างจริงจัง รวมถึงการทำให้สภาพการแข่งขันหรือสภาพแวดล้อมการแข่งขันในระบบเศรษฐกิจแข่งขันได้ดีขึ้น

ระดับที่สาม คิดว่าถ้าจัดการเศรษฐกิจในประเทศได้ดีแล้ว ทุกคนแข่งขันได้ดีมีความเป็นธรรมมากขึ้น เราต้องส่งออกคนที่แข็งแกร่งหรือเก่ง ๆ ทุกคนไปแข่งระดับโลก เราทำ 3 เรื่อง หนึ่งคือซอฟต์พาวเวอร์ เราเชื่อว่าน้อยแต่ได้มาก กลไกหลายอย่างที่เราอยากปลดล็อก

ทางพรรคมีประเด็นเรื่องไฮเทคที่อยากผลักดันอุตสาหกรรมไทย ไปสู่อุตสาหกรรมใหม่ ๆ เช่น อุตสาหกรรมชิป อุตสาหกรรมพลังงานสะอาด สุดท้ายเชื่อว่าภายใต้ยุคปัจจุบันที่เป็น Data Economy เราต้องเอาข้อมูลมาแปลงเป็นขุมทรัพย์มากขึ้น ทำอย่างไรให้ Virtual bank ที่พยายามพูดกัน เอื้อประโยชน์ทางการเงินให้คนเข้าถึงมากขึ้น โดยการเพิ่มใบอนุญาต ลดทุนจดทะเบียน ทำอย่างไรให้การเข้าถึงการเงินแก้ไขปัญหาหนี้สินเกษตรกรได้ อันนี้คือกรอบที่สำคัญในการออกแบบ 7 ประเด็นเพื่อแก้ไขเศรษฐกิจเชิงโครงสร้าง ดร. สิทธิพลเชื่อว่าเศรษฐกิจไทยมีศักยภาพแต่ต้องไปให้ถูกทาง กาก้าวไกลเศรษฐกิจไทยไม่เหมือนเดิม

ตัวแทนจากพรรคชาติไทยพัฒนา  

คุณรัฐชทรัพย์ นิชิด้า กรรมการนโยบายยุทธศาสตร์ และกรรมการประชาสัมพันธ์ เผยในส่วนของพรรคชาติไทยพัฒนา ขอเสนอนโยบาย 7 ข้อ คือ  

1. ยึดถือหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง  
2. รักษาเสถียรภาพการเงิน  
3. รักษาวินัยการคลัง  
4. ส่งเสริมการพัฒนาการท่องเที่ยวเพื่อเพิ่มรายได้ 
5. ปรับปรุงโครงสร้างอุตสาหกรรม  
6. สนับสนุนวิสาหกิจขนาดกลาง และขนาดย่อม  
7. บริหารจัดการการส่งออกแบบครบวงจร 

พรรคชาติไทยพัฒนา มีนโยบายเกิดขึ้นในทุกวัน เพราะปัญหาที่เกิดขึ้นทุกวัน ในเรื่องของเศรษฐกิจใหม่ โลกในปัจจุบันไม่มีพรมแดน ออนไลน์ก็เป็นส่วนหนึ่ง ส่วนที่สองคือภาคเกษตรและคนพิการ ในส่วนของภาคเกษตรสิ่งที่เกิดขึ้นจากดินเป็นสินค้าเกษตร เกิดคำถามว่าทำไมยาเส้น ยาสูบ ไปอยู่ในหน่วยงานสรรพากร ทางพรรคมองเห็นว่าเป็นสิ่งที่ต้องปรับโครงสร้างใหม่

ในส่วนของนโยบายเพื่อคนพิการ ในต่างประเทศต้องมีอัตราส่วน 1:6 คือพนักงาน 6 คน ต้องรับ ผู้พิการ 1 คน สิ่งนี้ทำให้ลดการสนับสนุนเงินคนพิการในส่วนงบประมาณแผ่นดิน เป็นการสร้างงานสร้างอาชีพให้กับผู้ที่ขาดโอกาส ในขณะเดียวกันต้องติดอาวุธให้คนเหล่านั้น ในด้านการศึกษา การไปเรียนหนังสือเรียนฟรี ทางพรรคมองในเรื่องการเรียนและสามารถทำงานเพื่อมีรายได้ไปด้วย ข้อมูลการทำเศรษฐกิจใหม่ของทางพรรคเน้นติดอาวุธด้าน Skill ให้ประชาชนทุกคน 

ตัวแทนจากพรรคชาติพัฒนากล้า  

คุณวรวุฒิ อุ่นใจ รองหัวหน้าพรรคชาติพัฒนากล้า ชี้ว่าพรรคชาติพัฒนากล้า มีแนวนโยบายเศรษฐกิจชัดเจน ทางพรรคมองว่าหลังวิกฤติโควิด 3 ปีนั้น ประเทศไทยต้องการหารัฐบาลที่เข้ามาช่วยในการหารายได้เข้าประเทศ เพราะที่ผ่านมาค้าขายไม่ได้ เกิดวิกฤติเศรษฐกิจโลก แบ่งเป็น 2 ขั้ว เกิดความเสี่ยงในเรื่องเศรษฐกิจถดถอย ความเสี่ยงเรื่องการแบ่งข้างของอำนาจ ส่งผลให้ประเทศอยู่ในภาวะความเสี่ยง เพราะฉะนั้นอันดับแรกคือการเร่งหารายได้

ในส่วนที่สอง ทางพรรคไม่ใช่พรรคที่เน้นประชานิยม ไม่เน้นการแจกเงิน แต่เป็นพรรคโอกาสนิยม  ที่เข้ามาสร้างโอกาสให้ผู้ประกอบการทุกระดับ  โดยเฉพาะผู้ประกอบการรายเล็ก ซึ่งมีความเสียเปรียบผู้ประกอบการรายใหญ่ในประเทศไทยมาอย่างยาวนาน

สิ่งที่ทางพรรคอยากทำคือ การหาเงินเข้าประเทศจำนวน 5 ล้านล้านบาท  จากโครงการเศรษฐกิจเฉดสีทั้งทั้ง 7 ตัวอย่างเช่น เศรษฐกิจสีฟ้าเป็นสาย Tech สร้างแอปพลิเคชันเรื่องการท่องเที่ยว ในเรื่องการท่องเที่ยวนั้น การจองโรงแรม 1 ปี เราเสียเงินให้ต่างชาติปีที่ผ่านมา 120,000 ล้าน เฉพาะการจองโรงแรมผ่านออนไลน์ ทางพรรคเล็งเห็นในส่วนตรงนี้ให้เป็นหน้าที่ของรัฐบาลเพื่อหาเงินเข้าสู่ประเทศ

หรืออย่างเศรษฐกิจสีเขียว มีนโยบายพันธบัตรป่าไม้ ลดคาร์บอนเครดิต ลดฝุ่น pm 2.5 แล้วทำให้เกษตรกรเปลี่ยนมาปลูกไม้ยืนต้น ไม่ใช่พืชไร่ ซึ่งมีตลาดรองรับมหาศาลในตะวันออกกลาง โดยอยากจะเปลี่ยนทะเลทรายเป็นป่า หรือแม้กระทั่งจีนที่มีปัญหา ถ้าเปลี่ยนเกษตรกรมาปลูกป่าระยะยาว สามารถขายได้เป็นหลาย 10 ปี ใน 1 ปีสามารถขายได้หลาย 1,000 ล้านต้น โดยเชื่อว่าเป็นสิ่งที่สามารถทำได้

อีกสิ่งสำคัญที่ต้องแก้ไขคือปัญหาโครงสร้าง โดยเชื่อว่าการแก้ปัญหาโครงสร้างอย่างยั่งยืนเป็นสิ่งที่ทำให้เศรษฐกิจไทยเติบโตได้จริง อันดับแรกคือโครงสร้างราคาพลังงาน เป็นต้นทุนของทุกอุตสาหกรรม ทุกธุรกิจ ถ้าต้นทุนส่วนนี้ถูกลง เศรษฐกิจไทยมีต้นทุนถูกลง 

ส่วนต่อมาคือการเข้าถึงเงินทุน ใช้นโยบายยกเลิกแบล็กลิสต์บูโร เปลี่ยนเป็นระบบ Credit score ทำให้การประเมินสินเชื่อมีรายละเอียด มีข้อมูล มี Big data และใช้ AI ในการคำนวณ ซึ่งประสบความสำเร็จมากในประเทศจีน ทำให้คนเข้าถึงเงินทุนมากขึ้น ในขณะเดียวกัน NPL ต่ำมาก อีกนโยบายหนึ่งของทางพรรค คือ การลดปัญหาค่าใช้จ่ายของพี่น้องประชาชน สำหรับผู้มีรายได้ต่ำกว่า 40,000 บาท ไม่ต้องเสียภาษี ทำให้คนมีรายได้น้อยไม่ต้องเสียภาษี สามารถประหยัดเงินได้ต่อเดือนถึง 7,500 บาท เป็นการอัดฉีดเศรษฐกิจ

อีกส่วนที่ต้องพัฒนาคือการปรับโครงสร้างสร้างระบบราชาการ ต้องการให้เกิด Digital Government  ราชการทำงานอยู่บนมือถือทุกอย่างโปร่งใส สามารถตรวจสอบได้ ลดการเกิดปัญหาคอรัปชัน มี Digital Footprint

ตัวแทนจากพรรคไทยสร้างไทย  

คุณสุพันธุ์ มงคลสุธี รองหัวหน้าพรรค ประธานคณะกรรมการด้านเศรษฐกิจและแคนดิเดตนายก กล่าวว่า ในวันนี้เศรษฐกิจไม่ดี เนื่องจากสถานการณ์โควิดที่ประเทศได้รับผลกระทบมาก หนี้ครัวเรือนสูงขึ้นมาถึง 90% แสดงให้เห็นถึงความเหลื่อมล้ำของประเทศ คนรายได้น้อยลำบาก คนรายได้สูงยังสบาย ทางพรรคต้องการทำให้คนมีรายได้น้อยมีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น ซึ่ง SME ตอบโจทย์ในส่วนนี้ เพราะฉะนั้น SME ต้องมีแต้มต่อ ต้องกล้าให้ โดยการให้ SME ไม่ต้องเสียภาษีนิติบุคคล 3 ปี เพื่อการปั้นตัวเองให้เข้มแข็งในการเข้าสู่ตลาดหลักทรัพย์ นี่คือสิ่งที่จะต้องเข้าไปสนับสนุน SME

และสิ่งสำคัญคือกฎหมาย ประเทศไทยมีกฎหมายที่เป็นอุปสรรคในการทำธุรกิจ ต้องเริ่มจากการแก้กฎหมาย โดยมีกฎหมาย 1,300 กว่าฉบับที่เป็นอุปสรรคในการทำธุรกิจ กฎหมายเหล่านี้เราต้องแขวน ด้วยการงดบังคับใช้ชั่วคราว 5 – 7 ปี เพื่อให้ทำธุรกิจได้คล่องขึ้น ไม่ต้องเสียค่าใบอนุญาตต่าง ๆ ยกตัวอย่าง อย. อาหาร น้ำ เครื่องดื่ม อาหารเสริมไม่ต้องขอ อย. สิ่งเหล่านี้ทำให้คนตัวเล็กเข้ามาแข่งขันได้ เพราะเรามีกฎหมายคุ้มครองผู้บริโภคอยู่ ทำให้ชาวบ้านคิดทำน้ำหอม ทำสบู่ขึ้นมาขายได้ทันที เรามีเทคโนโลยียิงเข้าไป สามารถสุ่มตรวจได้ ทางพรรคให้ความสำคัญในการสร้างคนตัวเล็กให้เข้มแข็ง  พรรคไทยสร้างไทยมองถึงเรื่องพลังคนตัวเล็กตลอดเวลา  

สิ่งสำคัญประเทศไทยต้องเข้มแข็งด้วยตัวเราเอง ต้องพัฒนาอุตสาหกรรมไทย สินค้าไทย ถ้าเราได้เข้าไปบริหาร จะแก้ BOI เป็นอันดับแรก การจัดการสิ่งเหล่านี้ทำให้ SME เข้มแข็งมากยิ่งขึ้น ประเทศไทยสามารถผลิตของอุตสาหกรรมเยอะมาก SME ที่สามารถแข่งกับต่างประเทศได้ แต่เรามีแบรนด์คนไทยน้อยมาก ที่จะสามารถแข่งขันได้ เครื่องสำอางเป็นที่หนึ่งของการส่งออก มีกระเป๋า มีเครื่องหนังที่ทำได้ แต่ไม่ได้รับการสนับสนุน ต้องเริ่มจากการสนับสนุนแบรนด์ไทย ในเรื่องของ Innovation ก็เป็นสิ่งสำคัญ ตั้งกองทุนนวัตกรรมเพื่อช่วย SME โดยเอาเงินจากผู้มีรายได้สูง ให้ภาคเอกชนดูแล ติดต่อให้องค์กรที่มีความสามารถในด้านนี้ เช่น สวทช. และ วว. ให้เข้ามาช่วยดูแลในส่วนนี้ ทางองค์กรเองได้ประโยชน์ในการทำ CSR ช่วยบริษัทเล็กให้เติบโตเข้มแข็ง  

ตัวแทนจากพรรคประชาธิปัตย์  

ม.ร.ว.ศศิพฤนท์ จันทรทัต ทีมเศรษฐกิจและผู้สมัครแบบบัญชีรายชื่อ พรรคประชาธิปัตย์ เผยว่าความจริงแล้วประเทศไทยมีกลุ่มผู้ยากไร้ที่ทำธุรกิจเองมากมาย ทั้งเกษตรกร หาบเร่แผงลอย รวมถึงกลุ่มแรงงาน ซึ่งกลุ่มเหล่านี้ทางพรรคประชาธิปัตย์ให้การดูแลในเรื่องนี้เป็นอย่างดี โดยไม่ได้มุ่งเน้นที่การสาดเงินเข้าไปเป็นประชานิยมอย่างเดียว แต่พยายามที่จะทำให้พวกเขาเรียนรู้วิธีที่จะทำอาชีพให้ได้ผลผลิตมากขึ้นด้วยต้นทุนที่ต่ำลง เช่น การเกษตรที่ปัจจุบัน 1 ไร่สามารถทำได้ 300 หรือ 500 กิโลกรัม แต่ถ้าเขามีน้ำเพียงพอ รู้วิธีในการปลูกข้าว โดยการใช้ปุ๋ย ใช้ยาที่เหมาะสม ผลผลิตที่ออกมาได้เกิน 1,000 กิโลกรัมแน่นอน

ทางพรรคมีความตั้งใจให้เกษตรกรสามารถลืมตาอ้าปากได้ด้วยวิธีนี้ สิ่งสำคัญคือต้องมีการลงทุนในแง่ชลประทานซึ่งเป็นสิ่งจำเป็น ในปัจจุบันมีพื้นที่แค่ประมาณ 20% อยากให้ทำเพิ่มเป็น 50% โดยใช้ระบบแก้มลิง ใช้ระบบหนองบึงต่าง ๆ นานา ที่มีอยู่ให้จัดเข้าสู่การเกษตรที่แท้จริง นอกจากนี้ในปัจจุบันแรงงานตกงานจากเหตุการณ์โควิด-19 จำนวนมาก ต้องมีการช่วย SME เพื่อให้เขาพวกสามารถฟื้นคืนชีพได้ และทำให้พวกเขามีเงินไปจ้างแรงงานไปทำงานต่อ

โดยการฟื้นคืนชีพของ SME นั้น จากเดิมมีออเดอร์ธุรกิจอยู่แล้ว ให้นำออเดอร์เหล่านั้นไปรวมกับธนาคารของรัฐอย่างกรุงไทยหรือ EXIM Bank หรือบางกลุ่มธุรกิจที่ขาดแคลนในแง่ของการตลาดหรือเทคนิคก็ต้องมีการจัดคนเพื่อเข้าไปช่วย รวมถึงการจัดเงินเข้าไปช่วย ทางพรรคประชาธิปัตย์ได้จัดงบไว้ 300,000 ล้านบาท สำหรับเข้าไปช่วย SME เหล่านี้ ม.ร.ว.ศศิพฤนท์ มองว่าตัวที่จะช่วยให้ประเทศเติบโต GDP 5% ต่อปีให้เป็นไปได้ ต้องมีการปรับโครงสร้างตลาดเงิน ตลาดทุน ให้ชัดเจน

พรรคประชาธิปัตย์มีนโยบายผลักดันให้เกิดธนาคารชุมชน และหมู่บ้าน อันนี้คือชุมชนละ 2 ล้านบาท ให้เป็นจุดเริ่มต้นให้เขาทำธุรกรรม โดยมีผู้ใหญ่ของหมู่บ้านเป็นคนจัดแจง พิจารณาว่าให้หรือไม่ให้เงินนั้น ซึ่งเงินที่ได้ก็เอาไปทำทุนต่อก็สามารถทำให้รากหญ้าสามารถเข้าถึง Asset to Funding ได้เร็วขึ้น ถ้าพูดถึงโครงสร้างทางการเงินขนาดใหญ่ มองว่าประเทศไทยมีเงินฝากทั้งระบบอยู่ 18 ล้านล้านบาท หากมีการนำเงิน 30% หรือ 10% เพื่อที่จะลงทุนใน Indication หรือแม้แต่ Infrastructure ที่เกี่ยวข้องกับการขนส่ง ถนน รางรถไฟ สนามบิน ลงทุนไปเพื่อให้ความเจริญกระจายออกนอกกรุงเทพฯ ไม่กระจุกตัว พอกระจายไปแล้วเราต้องมีเขตเศรษฐกิจพิเศษไปรองรับในหลาย ๆ จุด ในพื้นที่ของภูมิภาคทั่วประเทศ ก็จะเป็นจุดที่ทำให้ระบบการเงินเข้าถึงคนในทุกพื้นที่ ไม่ว่าจะเป็นรากหญ้า หรือพื้นที่ตามภูมิภาคต่าง ๆ ท้ายที่สุดคิดว่าระบบการเงินของประเทศต้องเปลี่ยนแปลงโดยฉับพลันโดยการรองรับเงินลงทุนจากซาอุดิอาระเบีย อินเดีย และจากจีนได้ เพราะฉะนั้น Financial Center ที่จังหวัดสงขลาหรือหาดใหญ่นั้นจำเป็น ซึ่งอันนี้เป็นแนวนโยบายของพรรคประชาธิปัตย์ที่จะต้องผลักดันให้เกิดขึ้นในอนาคตอันใกล้นี้ ถ้าประชาชนมองไปในทิศทางเดียวกัน 

ตัวแทนจากพรรคพลังประชารัฐ  

ดร.ม.ล.กรกสิวัฒน์ เกษมศรี ทีมเศรษฐกิจพรรคพลังประชารัฐ กล่าวว่า พรรคพลังประชารัฐเข้าใจความรู้สึกของประชาชนที่ไม่ใช่นักการเมือง ดร.ม.ล. กรกสิวัฒน์ เผยว่าตนไม่ใช่นักการเมืองอาชีพแต่เกิดจากธรรมะจัดสรรทำให้เข้าไปอยู่พลังประชารัฐ พลเอกประวิตร หัวหน้าพรรค สั่งว่าไม่ว่าใครจะอยู่รัฐบาลกับเราหรือไม่ก็ตาม นโยบายพรรคไหนดีจะนำมาใช้ทั้งหมด เพราะเป็นสิ่งที่ประชาชนได้ประโยชน์ สิ่งที่ทางพรรคมุ่งเน้นเสมอคือการก้าวข้ามความขัดแย้ง เพื่อก้าวข้ามความยากจน แต่อย่าลืมว่าคนจนหลาย ๆ คนคือฐานการปฏิบัติงานของเรา ถ้าพวกเขาเหล่านั้นอยู่ไม่ได้ทางภาคธุรกิจเองก็เกิดความลำบาก ดังนั้นสิ่งที่ทางพรรคต้องการทำคือปรับโครงสร้างทางเศรษฐกิจครั้งใหญ่ ตอนนี้ประเทศไทยยืนอยู่ปากเหว ประชาชนต้องตัดสินใจว่าจะตกลงไปหรือเดินไปอีกทางเพื่อขึ้นก้าวสู่การเป็นผู้นำอาเซียนสำคัญที่สุด  

หลายปีที่ผ่านมาประเทศไทยมีความก้าวหน้ากว่าประเทศมาเลเซีย ก้าวหน้ากว่าประเทศเวียดนาม แต่ตอนนี้ประเทศเหล่านั้นไปข้างหน้าแล้ว วันนี้หลายคนบ่นเรื่องพลังงาน ทาง ซึ่งในความเป็นจริงค่าไฟวันนี้ที่ประชาชนพูดกันว่า 4.77 บาท แต่นั่นไม่ใช่ นั่นคือค่ากลางของ EGAT ความจริงพวกเราโดนกัน 5 บาทกว่า บวก Vat ไปอีก แล้วทางการไฟฟ้าฝ่ายผลิตเสนอไปที่ 7 บาท ซึ่งอันนี้เป็นเพียงของภาคครัวเรือน ยังไม่ใช่ภาคอุตสาหกรรม โดยนโยบายนี้ยืนยันว่าเป็นไปไม่ได้แน่นอน

ดังนั้นเราต้องถอยกลับมาสิ่งที่ต้องทำคือปรับโครงสร้างเศรษฐกิจทั้งหมด สิ่งที่อยากเห็นคือ New&Green Economy เรามีธุรกิจเดิม เราก็ต้องมีการทำ Digital Transformation ดังนั้นสิ่งที่เราอยากจะเห็น ต้องบอกก่อนว่านโยบายส่วนใหญ่ที่ใช้เงินนั้นเป็นนโยบายที่ไปให้แต้มต่อกับประชาชน แต่นโยบายหลักคือการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างทางเศรษฐกิจ เติมเงินให้คนโดยเปิดโอกาสทางธุรกิจให้กับแต่ละคน เช่น นโยบายพลังงานโดยจะให้ประชาชนทุกคนผลิตไฟฟ้าด้วยตัวเอง ติดโซลาร์เซลล์บนหลังคาแล้วแลกหน่วยไฟ แลกหน่วยต่อหน่วย นั่นหมายความว่ากลางคืนดึงไฟไปใช้ได้ฟรีเลย แล้วถ้ามียานยนต์ไฟฟ้า ก็เอายานยนต์ไฟฟ้ามาเติมไฟไม่ต้องเข้าปั๊มน้ำมันอีกต่อไป ต้องปรับโครงสร้างกันยกใหญ่ และหัวใจสำคัญคือราชการเป็นตัวอุปสรรค “ผมทำธุรกิจอยู่ผมเข้าใจ ดังนั้นต้องลดอุปสรรคตัวนี้เราจะทำอย่างแน่นอนเลือกเบอร์ 37 นะครับ” ดร.ม.ล.กรกสิวัฒน์ กล่าวทิ้งท้าย

ตัวแทนจากพรรครักษ์ผืนป่าประเทศไทย 

คุณณัชพล สุพัฒนะ แคนดิเดตนายก พรรครักษ์ผืนป่าประเทศไทย กล่าวว่า ประเทศไทยก็เหมือนองค์กรซึ่งอยากให้มองว่า วันนี้ปัญหาประเทศไทยที่เป็นประเทศที่อุดมสมบูรณ์ไม่ใช่เรื่องเศรษฐกิจ แต่เป็นในเรื่องการขาดแคลนผู้นำ เป็นไปได้อย่างไรที่ประเทศเราที่อุดมสมบูรณ์ขนาดนี้จะทำให้มีคนยากจนได้ เรามีการโกงกินกันมหาศาลขนาดนี้ประเทศเรายังไม่เจ๊งเลย ประเทศเราอุดมสมบูรณ์มาก

ฉะนั้นนโยบายข้อแรกคือปราบโกง เราจะเขียนเรื่องเดียวไม่ได้ ถ้าเราบริหารองค์กรจะพูดแค่เรื่องทำกำไรไม่ได้แน่นอน ต้องพูดตั้งแต่คุณธรรมองค์กร ถ้าปราบโกงได้ประเทศจะติดจรวด ตอนนี้เราก็รู้อยู่แล้วว่ามันมีการโกงกินกัน 30-40% ถ้าเราไปปราบโกงได้ เงินประเทศก็เพิ่มแล้ว และนอกจากนี้ในองค์กรที่จะดีได้ต้องมีพนักงานที่ดีด้วย ฉะนั้นเราต้องมีการปฏิรูปราชการ

ในตอนนี้ต้องยอมรับว่าหน่วยงานราชการมีเยอะและซ้ำซ้อนมาก งบประมาณ 36.5% หมดไปกับค่าบุคลากร ต่อมาคือไม่มีประเทศไหนแจกเงินแล้วทำให้ประชากรอยู่ดีกินดีแล้วประเทศเข้มแข็งได้ เราต้องสร้างงานสร้างอาชีพ องค์กรก็ต้องมีสินค้า ต้องปฏิรูปการศึกษาเพื่อให้เกิดนวัตกรรมและการต่อยอด ข้อสุดท้ายคือ การสร้างความเท่าเทียมในสังคม ที่ยกตัวอย่างมาเพื่อให้เห็นว่าวันนี้ประเทศเรายังขาดผู้นำ เราไม่สามารถนำประเทศไปเสริมสร้างศักยภาพในการแข่งขันได้เลย

เราต้องสร้างให้การปราบโกงเป็นวาระแห่งชาติ วันนี้เราต้องจัดการเรื่องการโกงก่อน ปราบโกงให้ได้ เสร็จแล้วเราบังคับให้ข้าราชการทำงาน เรามีข้าราชการทั้งหมดประมาณ 3 ล้านคน ซึ่งประชากร 66 ล้านคน นี่คือ 1 : 22 มันเป็นไปได้ยังไงที่ข้าราชการไม่สามารถดูแลประชาชนให้มีความเป็นอยู่ดีขึ้นได้ เราต้องให้คนต้องแจกงาน การแจกงานคือการสร้างศักยภาพทางการแข่งขัน เรื่องการศึกษาก็เหมือนกันเราต้องเน้นหลักสูตรระยะสั้น เรียนกันมา 20 กว่าปีจบมาหางานมีเงินเดือน 15,000 บาท แต่ถ้าเกิดเราเรียนแบบต่างประเทศที่เรียนแค่ 3 เดือน 6 เดือน แล้วไปทำงานเงินเดือนสูงมาก และสิ่งสุดท้ายคืออยากให้เรามีการสร้างความเท่าเทียม เราสร้างศักยภาพการแข่งขันของประเทศก่อน

ตัวแทนจากพรรคกรีน 

คุณพงศา ชูแนม หัวหน้าพรรคกรีน เป็นที่รู้จักกันในนามนายหัวพงศา หรือ สืบ นาคะเสถียร แห่งต้นน้ำพะโต๊ะได้กล่าวถึงนโยบายว่า ในโลกนี้มีปัญหา 3 เรื่อง เรื่องสังคมคือเรื่องของมนุษย์ นอกตัวมนุษย์คือสิ่งแวดล้อม เรื่องเศรษฐกิจเป็นเครื่องมืออันประเสริฐที่มนุษย์จะอยู่กับสิ่งแวดล้อม โลกล้วนก้าวหน้าโดยทิ้งความบอบช้ำไว้บนไหล่ วันนี้โลกก้าวไปข้างหน้าแต่โลกร้อน คนยากจน อะไรที่จะนำไปใส่ในโลกนี้แล้วโลกจะเย็นลง ชีวิตมนุษย์จะดีขึ้น คำตอบคือต้นไม้ ผมเชื่อแบบนั้น เมื่อ 5 ปีที่แล้วองค์กรสถาบันนานาชาติว่าด้วยการพัฒนาสิ่งแวดล้อม เชิญผมไปประชุม เขาบอกว่ามนุษย์จำเป็นจะต้องรู้ว่าโลกร้อนจริง และกำลังแก้ปัญหาด้วยวิธีที่ผิด เขาบอกว่าจะต้องมีต้นไม้เพิ่มขึ้น 800,000 ล้านต้นภายในปี 2030 จึงได้คิดแผนเศรษฐกิจกรีนขึ้นมา

  • ตั้ง พ.ร.บ. ธนาคารต้นไม้ให้ต้นไม้เป็นสินทรัพย์ 
  • ออกบัตรรับรองต้นไม้ Tree Asset Card หรือบัตรคนรวย 
  • ออกหวยต้นไม้ Tree Lotto จะต้องมีเลขต้นไม้ทุกต้น ตั้งโรงรับจำนำต้นไม้ 
  • ปลูกบ้านกับไม้ ใครที่ปลูกบ้านกับต้นไม้ก็สามารถนำบ้านเข้าธนาคารได้เลย 
  • ผลิตเหรียญ Tree Coin เป็นคลิปโตรุ่นใหม่ เรียกว่า Carbon Currency 
  • 1,000 ต้น 3 ปีมีล้านบาท ใครที่มีต้นไม้ยางพารา 1,000 ต้น มีการการันตีล่วงหน้าว่า 3 ปี จะมีมูลค่าต้นละ 1,000 บาท
  • โรงไฟฟ้าชีวมวลจากไม้ เทียบค่าความร้อนกับน้ำมัน 
  • อนุญาตให้เป็นผู้รับสัมปทานปลูกป่ารายย่อย 

สำหรับพิธีปิดหลักสูตร 2morrow Scaler รุ่น 7 ที่ทั้ง 8 พรรคการเมืองให้เกียรติมาพูดนโยบายเศรษฐกิจของแต่ละพรรค จะเห็นถึงวิสัยทัศน์ของการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศให้มีความก้าวหน้ามากยิ่งขึ้น เรียกได้ว่าเป็นประสบการณ์ดี ๆ แบบมีเงินก็ซื้อไม่ได้ (Money Can’t Buy) เช่นนี้ มีที่หลักสูตร 2morrow Scaler เท่านั้น

ต้องการข้อมูลเกี่ยวกับหลักสูตรเพิ่มเติมสามารถติดตามได้ที่

Website : 2morrowscalerDurianCorp

Facebook : 2morrowscalerDurianCorp

#2morrowScaler #2MS7

#DURIAN #2morrowGroup #FIRM #หลักสูตรผู้บริหาร

#เข้าเส้นชัยด้วยนโยบายเศรษฐกิจที่ไม่ใช่แค่ฝัน 

#พรรคก้าวไกล #สิทธิพลวิบูลย์ธนกุล  

#พรรคกรีน #พงศาชูแนม 

#พรรคชาติไทยพัฒนา #รัฐชทรัพย์นิชิด้า 

#พรรคชาติพัฒนากล้า #วรวุฒิอุ่นใจ 

#พรรคไทยสร้างไทย #สุพันธุ์มงคลสุธี 

#พรรคประชาธิปัตย์ #ศศิพฤนท์จันทรทัต 

#พรรคพลังประชารัฐ #กรกสิวัฒน์เกษมศรี 

#พรรครักษ์ผืนป่าประเทศไทย #ณัชพลสุพัฒนะ 

Share Article

Related Posts

เปิดรับสมัครแล้ววันนี้!! 2morrow Scaler รุ่นที่ 8

จัดใหญ่ วันปิดหลักสูตร 2morrow Scaler รุ่น 7 พร้อมเหล่า Directors กล่าวจบงานอย่างสวยงาม

2morrow Scaler 7 บุกถ้ำมังกร บริษัท อมิตา โรงงานแบตเตอรี่ขนาดใหญ่ที่สุดในอาเซียน

The Forestias เมืองแห่งความสุขที่อาศัยอยู่บนผืนป่าย่านเมืองกรุง

2morrow Scaler 7 บุกถ้ำมังกร The Forestias by MQDC เมืองแห่งความสุขที่ยั่งยืน

3 องค์กรสนับสนุนเงินทุน สร้างโอกาส Startup ยกระดับ SMEs ไทย